วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

** อันตรายจากโทรศัพท์มือถือ **


..อันตรายจากโทรศัพท์มือถือ..
นอกเหนือไปจากอวัยวะครบ 32 ประการในร่างกายคนเราแล้ว ปัจจุบันดูเหมือนว่า “โทรศัพท์มือถือ” กำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนยุคโลกาภิวัตน์ที่จะขาดเสียมิได้ เพียงแต่ว่าอวัยวะส่วนนี้โดยมากจะเริ่มงอกเงยขึ้นมาในช่วงที่เป็น “วัยรุ่น” ซึ่งข้อดีของโทรศัพท์มือถือก็มีอยู่ไม่น้อย อาทิ ทำให้เราสามารถสื่อสารถึงกันและกันได้ตลอดเวลา และแทบทุกสถานที่ ทำให้เราสามารถโทรนัดสถานที่ หรือโทรเรียกช่าง/บริษัทประกันมาได้ทันท่วงที เมื่อรถเสีย รถชนบนทางด่วนหรือในบางสถานที่ที่ไม่มีโทรศัพท์สาธารณะ ฯลฯ อย่างไรก็ดี สิ่งใดมีคุณอนันต์ สิ่งนั้นก็มักมีโทษมหันต์ด้วย หากผู้ใช้นำไปใช้ในทางที่ผิด หรือใช้ไม่เป็น ดังนั้นโทรศัพท์มือถือก็เช่นเดียวกัน โทษของโทรศัพท์มือถือได้ก่อให้เกิดโรคใหม่ๆ หลายประการ ดังนี้

โรคเห่อตามแฟชั่น นิยมเปลี่ยนมือถือไปตามแฟชั่นเพื่อให้อินเทรน ดูทันสมัย ไม่ตกรุ่น
โรคทรัพย์จาง ดิ้นรนหาเงินเพิ่มหรือไปกู้หนี้ยืมสินมาซื้อมือถือ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นจากค่าโทรศัพท์และค่าบริการต่างๆ
โรคขาดความอดทนและใจร้อน เพราะความสะดวกสบายในการใช้โทรศัพท์มือถือ ที่ว่าตรงไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ กดปุ๊บ ติดปั๊บนี่เอง ทำให้หลายๆ คนกลายเป็นคนที่ทนรอใครนานไม่ได้ หรือไม่ยอมทนแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ
โรคขาดกาลเทศะ และมารยาท เช่น การใช้โทรศัพท์เวลาประชุม อาจเป็นการรบกวนผู้อื่นในเวลานอน เวลารับประทานอาหาร เวลาพักผ่อน หรือเป็นวันหยุด กำลังใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เป็นต้น
โรคขาดมนุษยสัพมันธ์ หากวันไหนไม่ได้โทรศัพท์ไปหาเพื่อน ก็อาจจะเกิดอาการเฉาหรือเหงาหงอย โดยไม่คิดจะมีมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนคนอื่นหรือคนที่อยู่รอบข้าง กลายเป็นคนแยกตัวออกจากสังคม
นอกจากโรคดังกล่าวข้างต้นแล้ว โทรศัพท์มือถือยังมีผลข้างเคียงทำให้เสียสุขภาพในด้านอื่นๆ อีก เช่น ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น เพราะมัวแต่คุยทั้งวันทั้งคืนเลยนอนดึก นอนไม่พอ ทำให้
หูตึงหรือมีโรคเกี่ยวกับหู เกิดอาการปวดหัว ไมเกรนหรือมีปัญหาทางเส้นประสาท เพราะคลื่นจากมือถือที่มีกำลังส่งแรงสูง ทำให้เกิดพวกโรคจิตเพิ่มขิ้น คือพวกที่ชอบแอบถ่าย หรือบางคนก็ถ่ายภาพหวิวของตัวเองไปลงตามอินเตอร์เน็ต เพราะทำได้ง่ายและสะดวกสบายขึ้น หลายๆ ครั้ง มือถือทำให้ขาดความระมัดระวัง ขับไปพูดไป จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ รถชนกัน หรือชนคนอื่น นอกจากนี้ มือถือยังก่อให้เกิดอาชญากรรม ถูกคนร้ายติดตามมาทำร้ายร่างกายหรือแย่งชิงทรัพย์ได้ง่ายอีกด้วย

ไม่ควรซื้อโทรศัพท์มือถือให้ลูก ถ้า...

ลูกอยากมีโทรศัพท์มือถือเหมือนเพื่อนๆ
ลูกอยากเล่นเกมส์ที่มีในโทรศัพท์มือถือ
ลูกอยากได้เพราะอิทธิพลของโฆษณา
วิธีใช้โทรศัพท์มือถืออย่างเหมาะสม

ใช้อุปกรณ์แฮนด์ฟรีทุกครั้ง เพื่อให้โทรศัพท์มือถืออยู่ห่างจากสมอง
ขณะที่มีสายเรียกเข้า ควรกดรับสายให้ห่างจากตัวสักพัก แล้วค่อยนำโทรศัพท์มาแนบหู เพราะขณะที่มีสายเรียกเข้าจะมีคลื่นแม่เหล็กจากโทรศัพท์ ซึ่งเป็นพลังแรงมากที่สุด
อย่าติดหรือแขวนโทรศัพท์ ติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะคลื่นรังสีจะแผ่มาถูกอวัยวะที่สำคัญ โดยเฉพาะกระดูกซึ่งมีไขกระดูกที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดต่างๆ เช่น กระดูกเชิงกราน และกระดูกที่หน้าอก อาจทำให้มีผลกระทบต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวได้
ควรใช้โทรศัพท์มือถือให้น้อยที่สุดและไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
ควรเก็บมือถือให้มิดชิด จะได้ไม่เป็นที่ล่อตาล่อใจเหล่ามิจฉาชีพ
วิธีง่ายๆ ที่ช่วยประหยัดงบไม่ให้บานปลาย

หากใช้บริการแบบเหมาจ่าย ควรตั้งระบบจำกัดการโทรออก ให้อยู่ในงบที่ตั้งไว้
หากใช้ระบบเติมเงิน ก็ควรเติมให้อยู่ในงบที่จำกัดและจัดสรรการโทรตามเวลาที่กำหนด
ควรใช้มือถือเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
ควรรู้จักประหยัด ไม่สิ้นเปลืองเงินทองไปกับเกมส์และการโหลดริงโทน
การใช้มือถืออย่างถูกวิธี จะช่วยยืดอายุการใช้งาน เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง
******************

http://www.sci.nu.ac.th/information-it/index.php?topic=2949.0

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อันตราย!... จากการใช้โทรศัพท์ขณะชาร์จแบตเตอร์รี่


อันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือในขณะที่ท่านกำลังเสียบสายชาร์จไฟเข้าโทรศัพท์มือถือหากมีสายเรียกเข้า (หรือต้องการโทรออก) ในขณะนั้น ท่านควรถอดสายชาร์ตไฟออกก่อนที่จะทำการรับสายเรืยกเข้าหรือโทรออกเพราะอุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้จากไฟฟ้า (220v) ซึ่งวิ่งเข้ามาตามสายไฟที่ท่านเสียบอยู่ได้ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวท่านถึงขั้นเสียชีวิตได้ด้วยความปรารถนาดี และโปรดอจ้งเตือนผู้ที่ท่านรักในการใช้โทรศัพท์อย่างถูกต้อง !!!เอ่อ... ใช่..มันไม่เกี่ยวกะปลา..ไม่เกี่ยวกะงู ตุ๊กแก ตุ๊กกายและไม้น้ำ หรือใดๆ ทั้งสิ้น ... แต่..... เขาบอกว่าให้แจ้งเตื่อนคนที่เรารัก... เชื่อว่าคนในนี้มีมือถือกันแทบทุกคน อิอิ (คุณนายเองยังใช้ทีเดียวสามเครื่องอ่ะ)
http://dek-d.com/board/view.php?id=1572896

อันตรายจากการใช้โทรศัพท์



ปัจจุบันการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์สื่อสารสำคัญในชีวิตประจำวันของประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคนทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ใช้มากกว่า 20 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการใช้โทรศัพท์มือถือมีประโยชน์ทำให้การติดต่อสื่อสารด้วยวาจา พร้อมทั้งการส่งข้อมูลเป็นไปได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ช่วยให้ความเป็นอยู่ของคนไทยและเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการใช้โทรศัพท์มือถือ แนบหูครั้งละนาน ๆ จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ โดยจากการวิจัยของแพทย์นักวิทยาศาสตร์หลายท่าน เตือนว่าผู้ที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอาจมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคได้หลายชนิด อาทิ ปวดศีรษะ มะเร็งสมอง หูอักเสบ มะเร็งเม็ดเลือดขาวและความจำเสื่อม ฯลฯ เป็นต้น

โทรศัพท์เป็นอุปกรณ์สื่อสารที่มีประโยชน์อย่างมากเพราะช่วยในการติดต่อสื่อสารได้รวดเร็ว ทุกบ้านเรือนหรือทุกสำนักงานจึงพยายามติดตั้งโทรศัพท์ไว้ใช้ประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร ถ้าหน่วยงานใดไม่มีโทรศัพท์
จะถือว่าล้าสมัยอย่างมากทีเดียวครับ
การโทรศัพท์เป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งของผู้ใช้ ผู้ใช้โทรศัพท์แต่ละคนจะมีพฤติกรรมการพูดโทรศัพท์
แตกต่างกันไป ลักษณะท่าทางการพูดโทรศัพท์อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ได้เช่นกัน โดยเฉพาะการพูดโทรศัพท์ในท่าเอียงคอหนีบโทรศัพท์เอาไว้
เมื่อไม่นานมานี้คณะแพทย์ของอังกฤษได้เขียนรายงานเผยแพร่ในวารสารการแพทย์ทางระบบประสาท โดยได้เตือนถึงอันตรายจากการพูดโทรศัพท์ในท่าเอียงคอหนีบโทรศัพท์ระหว่างศีรษะกับหัวไหล่ ถ้าหากพูดโทรศัพท์ลักษณะนี้เป็นเวลานาน ๆ อาจทำให้กระดูกเคลื่อนไปอยู่ในตำแหน่งที่ผิดปกติและกระดูกนี้จะไปสัมผัส
กับเส้นเลือดทำให้เส้นเลือดฉีกขาดได้ คณะแพทย์ได้ยกตัวอย่างของนายแพทย์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งที่มีอาการ
เส้นเลือดในสมองแตก ภายหลังจากการพูดโทรศัพท์กับผู้ป่วยในท่าเอียงคอหนีบโทรศัพท์กับหัวไหล่เป็นเวลานาน 1 ชั่วโมง จึงมีอาการขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ได้แก่ ตาข้างซ้ายพร่ามองไม่เห็นไปชั่วขณะพูดไม่ได้ เกิดอาการเหมือนโรคหัวใจระยะแรกและยังมีเสียงดังหวี่ ๆ ในหูตลอดเวลาด้วย
จากการตรวจวิเคราะห์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์สแกนพบว่ามีรอยฉีกขาดที่เส้นเลือดใหญ่เส้นหนึ่งที่
ไปเลี้ยงสมองชิ้นกระดูกเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้หูและขากรรไกรจะเคลื่อนไปอยู่ในตำแหน่งที่สัมผัสกับเส้นเลือดพอดีและกระดูกจะทำให้เส้นเลือดฉีกขาดแต่ภายหลังการรักษาแล้วผู้ป่วยก็รอดชีวิตมาได้เนื่องจากอาการขาดเลือด
ไปเลี้ยงสมองได้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ ถ้าหากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างทันทีก็ทำให้เสียชีวิตได้
ท่านผู้ฟังที่เคารพครับ เรื่องนี้คงจะช่วยเตือนใจของผู้ชอบใช้โทรศัพท์ได้บ้างนะครับ ขอให้ทุกท่าน
ได้ใช้โทรศัพท์ด้วยความระมัดระวังเพื่อให้เกิดความปลอดภัยนั่นเองครับ

http://www.ryt9.com/s/prg/30765

อันตราย!!! ....จาก โทรศัพท์มือถือ


อันตราย!!! ....จาก โทรศัพท์มือถือ

คงมีหลายๆ ท่าน ที่เคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับอันตรายจากมือถือกันมาบ้างแล้วสํ าหรับ
บทความนี้ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะทํ าให้ท่านตระหนักถึงอันตรายและหาวิธีป้องกันอันตรายได้มากขึ้น
โดยเป็นการวิเคราะห์การแพร่กระจายรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มาจากการใช้งานของโทรศัพท์เคลื่อนที่
ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงภัยที่จะเกิดตามมาจากการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในชีวิตประจำวัน

ในทุกวันนี้เรามีโทรศัพท์มือถือใช้กันจนดูเป็นเรื่องปกต ิ แต่ในขณะเดียวกัน รายงานผลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับรังสี คลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้า ที่เป็นอันตรายจาการใช้โทรศัพท์มือถือ มีผลการวิจัยจากประเทศต่าง ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง คุณทราบหรือไม่ว่า ปีที่แล้วในประเทศสวีเดน มือถือจํานวนถึง 1,000,000 เครื่อง ถูก ขายทิ้ง เนื่องจากผลการวิจัย จะรู้ได้อย่างไรว่ามือถือที่ใช้อยู่นั้นมีอันตรายหรือเปล่า ?

“ ในขณะนี้ไม่มีใครสนใจในความปลอดภัย ของการใช้โทรศัพท์มือถือมีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านพยายามลดความหวาดกลัวของผู้คน นักวิทยาศาสตร์ Mr.Olle Johanson จากสถาบัน Karolinska กล่าวว่า ความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของการใช้โทรศัพท์มือถือในวันนี้อาจกลายเป็นฝันร้ายในอนาคต ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอีก 30 ปีข้างหน้า เราจะมาสงสัยกันว่า เรายอมให้รังสีไมโครเวฟที่มีความถี่สูงขนาดนี้วิ่งผ่านศีรษะเราได้อย่างไร ”

โทรศัพท์มือถือที่เราใช้อยู่จะมีอันตรายได้อย่างไร ?

“ เนื่องจากเสาอากาศของโทรศัพท์มือถือได้แผ่รังส ี ซึ่งเป็นรังสีชนิดเดียวกับที่ใช้อุ่นและทำอาหารของเตา ไมโครเวฟ เพียงแต่มิปริมาณน้อยกว่ามากทั้งนี้วิทยาศาสตร์ยังไม่มีหลักฐานที่เด่นชัดถึงผลที่จะเกิดอันเนื่องมาจากการส่งผ่านความร้อนของคลื่นไมโครเวฟผ่านเซลล์ของมนุษย ”

การใช้มือถือจะเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งหรือไม่ ?

“ จากผลการทดลองกับหนู ได้แสดงให้เห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลง และยีนต์ DNA ถูกทําลายลงเป็น ผลมาจากรังสีไมโครเวฟซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่แผ่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือ ”

ยังมีอันตรายอะไรอีกไหม ที่มีผลมาจากรังสีไมโครเวฟ ?

“ ผลจากการศึกษาในประเทศอเมริกา ได้กล่าวว่า รังสีที่จะทําลายเซลล์ประสาท เซลล์ตัวอ่อนที่อยู่ในครรภ์มารดา โรคต้อกระจกการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของโลหิต และu3618 ยังเป็นสาเหตุให้เกิดความอ่อนแอในระบบภูมิคุ้มกัน”


ข้อข้องใจและคําถามจากผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ

อันตรายจาก…โทรศัพท์มือถือ

เด็กๆ จะมีความไวในการรับการกระตุ้นของคลื่นไมโครเวฟมากกว่าหรือไม่ ?

“ โดยทั่วไปแล้ว เด็กจะไวต่อการกระตุ้นจากสารเคมีต่างๆ ที่จะเกิดกับร่างกายของมนุษย์ จากการรายงาน

ในประเทศออสเตรเลีย สรุปว่า เด็กจะดูดซับรังสีไมโครเวฟในอัตราที่สูงกว่าผู้ใหญ่ถึง 3 เท่า ”

1.ลดการใช้โทรศัพท์มือถือ โดยหลีกเลี่ยงการพูดโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ พยายามวางแผน การใช้โทรศัพท์ ล่วงหน้า เพื่อที่คุณจะใช้โทรศัพท์ที่บ้านแทน เมื่อต้องคุยเป็นเวลานาน

2. อย่าใช้มือถือขณะอยู่ในรถ หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือ หากคุณอยู่ในรถ เพราะจะมีการเพิ่มปริมาณรังสี ไมโครเวฟ แต่ถ้าคุณมีความจํ าเป็นจริงๆ ที่จะต้องใช้โทรศัพท์เป็นประจํ าในขณะนั่งอยู่ภายในรถก็ควรติดตั้ง เสาอากาศไว้บนหลังคารถของ

3.ป้องกันอันตรายของรังสีไมโครเวฟออกจากลูก ๆ ของคุณอย่าวางโทรศัพท์มือที่เปิดอยู่ในเปลเด็กเล็ก โทรศัพท์มือถือจะมีการแผ่รังสีถึงแม้ว่าในขณะนั้นคุณจะไม่ได้ใช้มัน

4.หลีกเลี่ยงการคาดโทรศัพท์มือถือไว้ที่เอวของท่าน ไม่มีความจํ าเป็นเลยที่คุณจะให้รังสีไมโครเวฟที่เป็นอันตราย ;วิ่งผ่านไขกระดูกที่อยู่บริเวณสะโพกและลูกอัณฑะของท่าน ซึ่งผลการวิจัยกล่าวว่าเป็นบริเวณที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนหน้านี้ได้มีการเตือนถึงอันตรายในการวางโทรศัพท์ไว้ที่กระเป๋าเสื้อใกล้ๆ กล้ามเนื้อหัวใจ แต่ จากการวิจัยล้าสุดบริเวณนี้ถือว่าปลอดภัยสูงสุด ถ้าคุณไม่เคยผ่านการผ่าตัดติดตั้ง เครื่องกระตุ้นการเต้นกล้ามเนื้อหัวใจ และอีกบริเวณที่มีอันตรายน้อยที่สุด คือ วาง โทรศัพท์มือถือไว้ที่กระเป๋าบริเวณขา เช่น กระเป๋าของกางเกงทหาร

5.การถือโทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะสนทนา พยายามชี้ เสาอากาศ ไปทางด้านหลัง ให้ห่างจากศีรษะของท่านมากที่สุด

6.หันมาใช้อุปกรณ์ที่ช่วยลดการแพร่กระจายรังสี เช่น ซองป้องกันการแพร่กระจายของ คลื่นไมโครเวฟ หรืออาจใช้อุปกรณ์เสริมประเภท Headset, Small talk, Handsfree ขณะ โทรศัพท์แทนการแนบกับหูโดยตรง ……..สนในดูแล และป้องกันตัวเอง ลดอันตรายจากการใช้มือถือ ก่อนอะไร ๆ จะสายเกินไป………


SAFETY HEALTH & ENVIRONMENT




http://www.whitemedia.org/wma/content/view/99/17/

อันตรายจากการใชโทรศัพท์




เพียงไม่กี่ปีที่โทรศัพท์เคลื่อนที่เข้ามามีบทบาทกับชีวิตคนไทย ก็ได้รับความนิยมอย่างมากมาย สร้างยอดขายถล่มทะลายจนทำเอานักธุรกิจน้อยใหญ่ร่ำรวยไปตามๆ กัน แรกๆ ก็เป็นเพียงเครื่องอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสาร แต่ปัจจุบันเป็นมากยิ่งกว่าเครื่องมือสื่อสารไปเสียแล้ว เพราะโทรศัพท์มือถือกลายเป็นเครื่องประดับชนิดหนึ่งของผู้นิยมความไฮเทค กลายเป็นเครื่องคิดเลข นาฬิกา วิทยุ กล้องถ่ายรูป เกม แม้แต่โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต จนกลายเป็นแฟชั่นมือถือที่ใครซื้อรุ่นล่าสุด แพงสุดๆ มาครอบครองได้ ถึงจะเป็นจุดเด่นในกลุ่มเพื่อนฝูงและสังคม โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันจึงเป็นความจำเป็นในชีวิตที่ไม่ใช่แค่เพียงใช้เพื่อการสื่อสารเท่านั้น แต่ใช้อวดความอินเทรนของผู้ใช้ได้อีกต่างหากเมื่อมีการใช้โทรศัพท์กันมากขึ้นหลายคนก็เริ่มสงสัยว่า คลื่นโทรศัพท์ที่ใช้กันเกลื่อนกลาดนี้มีผลดีผลเสียต่อสุขภาพของเราอย่างไร ข่าวคราวอันตรายจากการใช้มือถือก็เริ่มมีเข้ามาให้ได้ยินกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาการปวดศีรษะเมื่อใช้โทรศัพท์นานๆ อาการร้อนหู ขาดสมาธิ อ่อนเพลีย บางคนบอกว่า ความจำไม่ดีเลยหลังจากใช้โทรศัพท์มือถือ ผลที่ผู้ใช้มือถือกังวลที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องของมะเร็งในสมอง ในต่างประเทศบริษัทยักษ์ใหญ่เคยถูกผู้ป่วยมะเร็งในสมองฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายโดยกล่าวหาว่า เขาเป็นมะเร็งในสมองจากการใช้โทรศัพท์ แบบนี้ก็มีให้เห็นกันมาแล้ว แม้ว่าจะแพ้คดีเพราะไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน แต่ผู้ใช้หลายคนก็ยังคลางแคลงใจว่ามันจะส่งผลระยะยาวได้หรือไม่ เพราะโรคมะเร็งมักจะส่งผลร้ายในระยะยาวจึงเกิดอาการ

ผลการวิจัยของนักวิจัยชาสวีเดน ชื่อ เจล แฮนส์สัน ที่วิจัยถึงผลกระทบของโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีต่อชาวสวีเดน และชาวนอร์เวย์จำนวน 1,100 คน พบว่า ถ้าใช้วันละ 15-20 นาทีก่อให้เกิดความเมื่อยล้าได้ มากกว่าผู้ที่ไม่ใช้ หรือใช้น้อยกว่า 2 นาที และถ้าใช้เกิน 60 นาที มีจำนวนผู้ที่รู้สึกเมื่อยล้าเพิ่มขึ้นถึง 4.1 เท่า และผู้ที่ใช้โทรศัพท์นาน 15-60 นาทีต่อวันมีอาการปวดศีรษะมากขึ้นเป็น 2.7 เท่า และเพิ่มเป็น 6.3 เท่าเมื่อใช้นานเกิน 60 นาทีต่อวัน มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด วิเคราะห์สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนพบว่า สาเหตุของอุบัติเหตุบนท้องถนนเนื่องมากจากผู้ขับขี่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถเพิ่มสูงขึ้นถึงปีละ 2,600 รายเมื่อเทียบกับสองปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจากสาเหตุนี้ถึง 1.5 เท่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นคำนวณเป็นเงินเสียหายมากถึง 1.5 ล้านดอลลาร์แม้การวิจัยที่ผ่านมายังไม่สามารถระบุได้ว่า การใช้โทรศัพท์จะส่งผลต่อการเป็นมะเร็งในสมอง แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะเป็นตัวสร้างความตระหนักให้พวกเราผู้ใช้ก็คือผลการวิจัยที่พบว่า เนื้องอกในสมอง จะพบเนื้องอกในสมองซีกขวามากกว่าสมองซีกซ้าย ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ถนัดขวาและมักใช้โทรศัพท์มือถือแนบกับหูด้านขวา ไม่เชื่อคุณๆ ที่ถนัดขวาลองสังเกตตัวเองดูว่า ถ้าต้องโทรศัพท์แล้วจะใช้มือข้างไหนหยิบก่อนเป็นส่วนมาก อาการปวดหัว อ่อนเพลีย เนื้องอก มะเร็ง และอุบัติเหตุทางจราจร เป็นผลพวงของการโทรศัพท์ใช้มือถือที่มีต่อสุขภาพกาย อย่ามองข้ามความสำคัญของการใช้มือถือที่มีผลต่อสุขภาพจิต ท่านที่เคยนั่งในห้องประชุมที่เงียบและต้องการสมาธิในการฟัง แล้วจู่ๆ มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทำเอาเราสะดุ้งและเสียสมาธิได้ แม้ในโรงหนังที่กำลังสนุก แต่กลับมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ก็ทำลายอารมณ์การดูหนังได้ไม่น้อย นั่นคือผลกระทบด้านจิตใจ แม้ไม่มีผลการวิจัยที่ชี้ชัดถึงมหัตภัยร้ายแรงของคลื่นโทรศัพท์มือถือ แต่เราก็ไม่ควรละเลยที่จะระมัดระวัง เพราะงานวิจัยที่ได้ผลชัดเจนมักต้องใช้เวลาในการเก็บข้อมูลนานพอสมควร กว่าข้อมูลยืนยันจะออกมาเราอาจจะกลายเป็นหนึ่งในสถิติข้อมูลโรคที่เกิดจากมือถือก็ได้ คงไม่มีใครอยากให้ตัวเองเป็นหนึ่งในสถิติผู้เป็นโรคเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือ ดังนั้นจึงควรระมัดระวัง อย่าใช้โทรศัพท์มือถือนานเกินไป แต่ละครั้งไม่ควรเกิน 15 นาที เพราะถ้าเกิน 15 นาทีก็สามารถทำให้ท่านร้อนหู อ่อนเพลีย และถ้าใช้มากถึง 60 นาทีต่อวัน ก็อาจเกิดอาการปวดศีรษะได้ ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นประจำการใช้ Hand Free หรือ small talk จะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากคลื่นโทรศัพท์ลงไปได้บ้าง ยิ่งขณะขับรถด้วยแล้วการใช้ Hand Free หรือ small talk จะช่วยลดอุบัติเหตุได้สูงมากสิ่งต่างๆ ในโลกล้วนมีทั้งคุณและโทษ โทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตผู้คนในปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง หากขาดโทรศัพท์มือถือในสังคมวันนี้ สังคมไทยคงปั่นป่วนไม่น้อย แต่หากผู้ใช้ไม่ตระหนักถึงอันตราย และใช้อย่างไม่มีความพอดี ก็อาจทำให้ชีวิตของท่านปั่นป่วนได้ การใช้โทรศัพท์มือถืออย่างฉลาดใช้จะช่วยให้ท่านห่างไกลหมอได้


http://www.watdoi.com/watdoi_db/read.php?tid=196

น้ำตกแสงจันทร์

ชื่อ นางสาวนริสรา ยิบรัมย์ ชื่อเล่น จอย
เกิดวันที่ 9 สิงหาคม 2531 อายุ 21 ปี
กำลังศึกษาอยู่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คณะ การท่องเที่ยวและการโรงแรม
นิสิตชั้นปีที่ 3
ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 176 หมุ่ 1 บ้านสำโรง ต.ศร๊ณรงค์ อ.ชุมพลบุรี
จ.สุรินทร์ 32190

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

พริกขี้หนูสดลดระดับน้ำตาลในเลือด


Capsaicin ในพริกขี้หนู ซึ่งทำให้เกิดความเผ็ดร้อน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางยา เชื่อกันว่ามีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด รศ.สุพีชา วิทยเลิศปัญญา ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาวิจัยเรื่อง “เภสัชจลนศาสตร์ของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูสด และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพริกขี้หนูสดต่อน้ำตาลในเลือดในอาสาสมัครสุขภาพดี” เพื่อพิสูจน์สรรพคุณของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้หรือไม่ Capsaicin ว่าพบมากที่สุดบริเวณรกของพริกขี้หนู วิธีในการวิจัยระยะแรกจะศึกษานำร่องในอาสาสมัครจำนวน 2 ราย เพื่อพิสูจน์ปริมาณที่เหมาะสมของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูที่มีผลทำให้ระดับน้ำตาลลดลง การวิจัยเลือกใช้พริกขี้หนูขนาด 5 กรัม ผลปรากฏว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้อย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงทดลองในอาสาสมัครจำนวนเพิ่มมากขึ้นเป็น 12 ราย อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งรับประทานพริกขี้หนูบรรจุในแคปซูลพร้อมกับน้ำตาลความเข้มข้น สูง อาสาสมัครอีกกลุ่มหนึ่งรับประทานแคปซูลเปล่า เพื่อเปรียบเทียบผลระหว่างอาสาสมัครทั้งสองกลุ่ม จากนั้นจึงวัดระดับน้ำตาลในเลือดทุก 15 นาที ตั้งแต่เริ่มรับประทานยาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัดในนาทีที่ 30 เป็นต้นไป กลุ่มที่รับประทานพริกขี้หนูสดมีระดับน้ำตาลลดลงมากกว่ากลุ่มที่รับประทานแคปซูลเปล่า และมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ จากการวิจัยโดยให้กลุ่มอาสาสมัครที่รับประทานแคปซูลเปล่ามารับประทานพริกขี้ หนูสด และเจาะเลือดวัดระดับอินซูลิน รวมทั้งวัดระดับ Capsaicin ใน เลือดของอาสาสมัครกลุ่มที่รับประทานพริกขี้หนูสดที่บรรจุในแคปซูล ผลปรากฏว่าระดับอินซูลินในกลุ่มอาสาสมัครที่รับประทานพริกขี้หนูสดอยู่ใน ระดับคงที่ ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานพริกขี้หนูสดมีระดับอินซูลินลดลง แสดงให้เห็นว่า Capsaicin จาก พริกขี้หนูสดสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ ผลการวิจัยสรุปได้ว่าพริกขี้หนูสดขนาด 5 กรัมมีคุณสมบัติในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินได้ ผลที่ได้น่าจะมาจากการที่ Capsaicin เข้าสู่ร่างกายและออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลินนั่นเอง
รศ.สุพีชา กล่าวเสริมว่า นอกจากพริกขี้หนูสดแล้วยังมีสมุนไพรชนิดอื่น เช่น ใบหม่อน มะระขี้นก ฯลฯ ที่มีผลต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไป เพื่อใช้สมุนไพรดังกล่าวเสริมกับการรับประทานยาแผนปัจจุบัน สำหรับงานวิจัยที่จะทำต่อไปในอนาคตจะศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน
ต่อไป

เชื้อโรคร้ายในสบู่ ภัยห้องน้ำสาธารณะ


ทั่วโลกต่างเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สาย พันธุ์ใหม่ 2009 อย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่าจะระบาดอีกเป็นระลอกสอง โดยทางกระทรวงสาธารณสุขก็มีโครงการรณรงค์ให้คนไทยรู้จักป้องกันโรคดังกล่าว ด้วยสโลแกนที่จดจำง่ายอย่าง “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัย” สบู่, สบู่เหลว, การล้างมือ, ห้องน้ำสาธารณะ, แบคทีเรียแต่ ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่รีบเร่งจนบางครั้งอาจไม่ยั้งคิดว่า เรื่องใกล้ตัวอย่างการล้างมือด้วยสบู่ในห้องน้ำสาธารณะ ทั้งในร้านอาหาร ฟิตเนส อาคารสำนักงาน และห้างสรรพสินค้าเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจากการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า สบู่ชนิดกล่องเปิดฝาแบบเติมมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ถึงร้อยละ 25 งานวิจัยครั้งนี้มุ่งวิเคราะห์หาเชื้อปนเปื้อนที่แฝงอยู่ในสบู่ที่ตาคนเรา มองไม่เห็น โดยได้มีการเก็บตัวอย่างสบู่จำนวน 541 ตัวอย่าง ทั้งที่เป็นสบู่เหลวแบบเติม และสบู่เหลวแบบบรรจุภัณฑ์ปิด (เมื่อใช้น้ำยาหมดแล้วทิ้ง) พบว่า สบู่แบบเติม 133 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 25 มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อน โดยร้อยละ 65 ของเชื้อที่พบคือ "เชื้อโคลิฟอร์ม" ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบมากในสิ่งปฏิกูลของสัตว์เลือดอุ่น ที่มีโอกาสส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขอนามัยของผู้ใช้ ทั้งในระบบทางเดินหายใจ กระแสโลหิต ระบบปัสสาวะ และการติดเชื้อบริเวณผิวหนัง ซึ่งสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้เกิดขึ้นขณะที่มีการเปิดฝากล่องเพื่อเติมสบู่นั่น เอง แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจในการศึกษาในครั้งนี้ก็คือ สบู่เหลวที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์แบบปิด (เมื่อใช้น้ำยาหมดแล้วทิ้ง) กลับไม่พบเชื้อแบคทีเรียเลย สบู่, สบู่เหลว, การล้างมือ, ห้องน้ำสาธารณะ, แบคทีเรียซึ่ง นอกจากการล้างมือด้วยสบู่เหลวแล้ว จากการวิจัยของ อเมริกัน เจอร์นัล ออฟ พรีเวนทีฟ เมดิซิน 2001 (American Journal of Preventive Medicine 2001) พบว่า การล้างมือและเช็ดมืออย่างถูกวิธีอย่างน้อย 5 ครั้งต่อวันก็สามารถลดโอกาสติดเชื้อหวัดได้ถึงร้อยละ 45 และการศึกษาของมหาวิทยาลัยเวสมินสเตอร์ยังชี้ว่า การใช้กระดาษเช็ดมือทุกครั้งหลังการล้างมือ ยังสามารถช่วยให้แบคทีเรียลดลงถึงร้อยละ 58 ในขณะที่การใช้เครื่องเป่าลมร้อนพบว่าแบคทีเรียในมือเพิ่มขึ้นร้อยละ 25% อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว จึงควรหันมาใส่ใจในการล้างมือในที่สาธารณะให้มากขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นการล้างมือเพื่อรักษาความสะอาด สร้างเสริมสุขอนามัยที่ดี จะกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการสะสมเชื้อโรคไปแบบไม่รู้ตัว